
วิธีทำร้ายผิว วิธีที่ 1 : ไฮโดรควิโนน รักษาฝ้า
นอกจากสารไฮโดรควิโนน ก็ยังมีสารเทรทิโนอิน (Tretinoin) และ กรดอซีเลอิก (Azelaic acid) ที่ช่วยในเรื่องการลดรอยฝ้า แต่หากใช้ไปนานๆ หรือใช้ในปริมาณที่มากไป ก็จะทำให้ผิวแสบแดง ไวต่อแสง ฝ้าฝังลึก
ผลเสียที่ตามมา : การใช้ไฮโดรควิโนนขนาดสูง ต่อเนื่องกันนานๆ จะทำให้ผิวหนังระคายเคือง รอยฝ้าคล้ำชัดเจนขึ้นจากปฏิกิริยาแพ้แสงแดด หรือเกิดฝ้าถาวรได้ ทางที่ดีควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง เพราะโดยปกติแล้ว สารไฮโดรควิโนน ที่แพทย์ระบุให้ใช้ได้ต้องมีความเข้มข้นร้อยละ 2-4 เท่านั้น! หากซื้อเองตามท้องตลาดอาจเกิดผลเสียระยะยาว เสี่ยงถึงชีวิตได้!

วิธีทำร้ายผิว วิธีที่ 2 : ลอกหน้ารักษาฝ้าด้วยสารเคมี
เคมีลอกผิวหน้า (Chemical Peeling) เป็นการลอกผิวด้วยน้ำยาเคมี ช่วยให้เซลล์ผิวชั้นนอกหลุดลอก โดยเฉพาะเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ รอยดำจากสิว รอยฝ้า รอยกระ และคราบไคลหลุดลอกออกง่าย ช่วยลดเลือนริ้วรอย ปรับสภาพสีผิว ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่
น้ำยา ที่ใช้ทำลอกหน้า Chemical Peeling ได้แก่ ไกลโคลลิก Glycolic acid , ซาลิไซลิก Salicylic acid , ทีซีเอ Trichloroacetic acid, BHA, AHA เป็นต้น น้ำยาลอกหน้าแต่ละตัว มีคุณสมบัติในการรักษาแตกต่างกัน และความรุนแรงของระดับการรักษาก็ต่างกัน
ผลเสียที่ตามมา : หากปริมาณของน้ำยาลอกหน้าแต่ละตัวมีความรุนแรง และใช้ลอกผิวหน้าบ่อยๆ ก็จะทำให้ผิวหน้าบางลง แห้งลอก ระคายเคืองง่าย อาจก่อให้เกิดผิวไวต่อแสงแดด มีอาการไหม้ แสบแดงได้ง่ายขึ้น หากต้องการทำ Chemical Peeling ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น!

วิธีทำร้ายผิว วิธีที่ 3 : การกรอผิวหน้าลดรอยฝ้า
การกรอผิวหน้า (Microdermabrasion) เป็นเทคโนโลยีการขัดกรอผิวหน้าที่สะดวกรวดเร็ว ให้ประสิทธิภาพสูง เป็นที่นิยมแพร่หลายทั้งในยุโรปและอเมริกา ด้วยวิธีการรขจัดผิวในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งเป็นเซลล์ชั้นบนที่ตายแล้ว ให้หลุดออก โดยใช้ผลึกคริสตัลให้วิ่งตามการพ่นของเครื่องปั้มในกระบอกสูญญากาศที่ปลอดเชื้อ โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึก เพื่อกรอผิวหนังชั้นนอกเพื่อให้ฝ้าหลุดลอกออกและจางลง โดยมีการปรับความแรง ความเร็วในการพ่นผลึกดังกล่าวได้ตามต้องการของผู้ใช้
ผลเสียที่ตามมา : การกรอผิวหน้าเพื่อรักษารอยฝ้า ต้องทำมากกว่า 10 ครั้งขึ้นไปจึงจะเห็นผล หากมีสิวเยอะ หรือหลุมสิวลึกก็จะต้องกรอผิวหน้าในระดับที่ลึก ทำให้มีอาการบวม แสบ แดง บางรายอาจจะมีอาการแพ้ผงอัญมณีได้ ควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจทำการกรอผิวหน้า!

วิธีทำร้ายผิว วิธีที่ 4 : ทำเลเซอร์รักษาฝ้า
เลเซอร์ (Laser) เป็นการรักษาโดยใช้พลังงานแสงไปยังบริเวณผิวหนังที่มีรอยคล้ำจาก กระหรือ ฝ้า ผิวหนัง ส่วนที่มีเม็ดสีเมลานินปริมาณมากกว่าปกติ จะดูดซับพลังงานแสง มีผลทำให้เม็ดสีเมลานินในบริเวณนั้นถูกทำลายและมีจำนวนลดลง ทำให้รอยกระ ฝ้า นั้นจางลงหรือหายไป เห็นผลการรักษาได้ค่อนข้างรวดเร็ว เหมาะกับผู้ที่มีผิวค่อนข้างขาว และ มีฝ้าไม่มากนัก
ผลเสียที่ตามมา : สิ่งที่ควรรู้ก่อนจะตัดสินใจไปทำเลเซอร์ ก็คือ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำเลเซอร์แล้วได้ผลดีเหมือนกันหมด เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่างที่อาจทำให้การทำเลเซอร์กับคนหนึ่งอาจไม่ได้ผลดีเท่ากับอีกคน หลายคนรักษาแล้วหน้าคล้ำกว่าเดิม หน้าไหม้ บางคนมีปัญหาถึงขั้นฝ้าไม่หาย ยังฝังลึกมากกว่าเดิม ทำให้หน้าบาง ไวต่อแดด แถมค่าใช้จ่ายยังสูงอีกด้วย แม้เลเซอร์ จะสามารถกำจัดฝ้า กระ ของผิวหนังได้ แต่ก็ไม่ได้ป้องกันการเกิดเม็ดสีใหม่ ทำให้ผิวอาจเกิดเป็นฝ้าหรือกระขึ้นใหม่ได้ ดังนั้น หลังทำเลเซอร์นี้แล้ว ก็ควรดูแลผิวพรรณด้วยการหลบแดด และใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
ลองเลือกใช้ครีมรักษาฝ้าสูตรสมุนไพรของ Manee Skincare ที่มีสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ อาทิ เช่น หัวไชเท้า ใบบัวบก ว่านหางจระเข้ ที่ช่วบบำรุง และฟื้นฟูผิวหน้าจากรอยฝ้าให้ค่อยๆจางลงได้เป็นอย่างดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น