สมุนไพรรักษาฝ้า (ระคายเคืองผิว)
1. หัวไชเท้า
ข้อดี : เป็นที่ทราบกันดีว่าหัวไชเท้ามีฤทธิ์ที่ช่วยรักษาฝ้าได้เป็นอย่างดี เพราะหัวไชเท้ามี สารไกลโคไซด์ ที่อุดมไปด้วยกรดแอสคอบิก วิตามินซี และวิตามินเอ ที่มีส่วนช่วยในการลดรอยฝ้า
ข้อเสีย : แต่มีดีก็ต้องมีเสีย สำหรับหัวไชเท้านั้นหากคนที่ผิวบอบบางมาใช้อาจเกิดอาการแสบแดงได้ เพราะหัวไชเท้ามีฤทธ์เป็นกรดที่เข้มข้น เป็นผืชที่มีความเผ็ดร้อน ทำให้ผิวหน้ามีอาการแสบแดงได้ ดังนั้นหากต้องการใช้หัวไชเท้ารักษาฝ้า ควรทดสอบอาการแพ้ระคายเคืองที่ท้องแขน หรือใต้คางก่อน 10-15 นาที หากไม่มีอาการใดๆก็สามารถรักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้าตามปกติ
เคล็ดลับ ลดอาการระคายเคืองจากหัวไชเท้า : หากอยากลองใช้หัวไชเท้ารักษาฝ้า ควรผสมน้ำผึ้ง นมสด หรือรำข้าวบดละเอียด ลงไปในน้ำหัวไชเท้า และทำการพอกผิวหน้าที่เป็นฝ้าตามปกติ หากมีอาการแสบผิวหน้า ควรรีบล้างทันที และเอาน้ำเย็นประคบผิวหน้า
2. หอมแดง
ข้อดี : หอมแดงเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการช่วยรักษาฝ้าให้จางลงง่ายๆ ราคาก็ไม่แพง วิธีการง่ายๆคือให้ฝานหอมออกเป็นแว่นๆ และถูลงไปบนหน้าบริเวณที่เป็นปัญหา มีรอยฝ้า 20 นาที เท่านี้รอยฝ้าก็จะค่อยๆจางลงได้
ข้อเสีย : แต่ก็ใช่ว่าของดีจะเข้ากับทุกสภาพผิวของทุกคน บางรายที่ใช้หอมแดงรักษาฝ้าก็มีอาการร้อน แสบ คันบนผิวหน้า เพราหอมแดงมีกำมะถันทำให้รู้แสบซ่าๆบนผิวหน้า และระเหยทำให้แสบดวงตา หากมีผิวบอบบางควรเลี่ยงการใช้หอมในการรักษาฝ้า
เคล็ดลับ ลดอาการระคายเคืองจากหอมแดง : สามารถคั้นเอาเฉพาะน้ำของหัวหอมแล้วนำไปแช่ตู้เย็นเพื่อดับกลิ่นและลดความซ่าที่อาจทำให้แสบผิวสัก 5-10 นาที มาลองแต้มที่ท้องแขน หรือใต้คาง หากมีอาการแสบผิวให้รีบล้างด้วยน้ำสะอาด และประคบด้วยน้ำเย็นลดอาการแสบร้อน
3. มะนาว
ข้อดี : น้ำมะนาวสดทาที่รอยฝ้า หรือพอกผิวหน้าจะช่วยลดรอยฝ้าได้ เพราะมะนาวนั้นมีกรดAHA และ VitaminC ที่สูงมาก ทำให้สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ดำคล้ำอย่ารอยฝ้า รอยดำจากสิวให้ค่อยๆจางลงได้ และกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ให้เปล่งปลั่งขึ้นได้ หากใช้เป็นประจำก่อนนอน รอยฝ้าก็จะค่อยๆจางลง
ข้อเสีย : แต่น้ำมะนาวที่มีฤทธิ์เป็นกรดนี้ สำหรับคนที่มีผิวบอบบาง หรือเป็นคนที่แพ้กรด AHA อาจเกิดอาการแสบ ระคายเคืองผิวได้ ดังนั้นหากใครที่อยากใช้สูตรน้ำมะนาวรักษาฝ้า ควรทดสอบก่อนใช้โดยการทาทิ้งไว้ใต้คาง หรือท้องแขนสัก 5-10 นาที ถ้าคันๆแสบๆจนทนไม่ไหว ก็ควรหยุดใช้ได้เลย
เคล็ดลับ ลดอาการระคายเคืองจากมะนาว : หากอยากใช้มะนาวรักษาฝ้า ควรผสมน้ำผึ้งลงไปสัก 1 ช้อนชา แล้วทาลงบนใบหน้าก่อนนอน 10-15 นาที ล้างออกให้สะอาดเท่านี้ก็ช่วยบรรเทาอาการแสบได้แล้ว
4. มะขามเปียก
ข้อดี : มะขามเปียกมีฤทธิ์ที่คล้ายๆน้ำมะนาว เพราะมี กรดAHA และVitaminC สูงมาก ทำให้ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าอย่างรอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำให้ค่อยๆจางลงได้ และรวมถึงรอยดำกร้านตามข้อศอก หัวเข่า ตาตุ่ม ก็สามารถจางลงได้เป็นอย่างดี
ข้อเสีย : ด้วยฤทธิ์ของกรด AHA ในน้ำมะขามเปียกที่สูงมากนั้น สำหรับคนที่แพ้ AHA และกรด VitaminC หรือคนที่มีผิวบอบบางควรหลีกเลี่ยง เพราะสูตรนี้อาจทำให้แสบผิวได้ และมีอาการคันยิบๆตามมา
เคล็ดลับ ลดอาการระคายเคืองจากมะขามเปียก : ควรผสมมะขามเปียกกับน้ำผึ้ง หรือนม เพื่อไปเจือจางกรด AHA ที่อยู่ในมะขามเปียก ทำให้สามารถใช้รักษาฝ้าได้โดยไม่ค่อยรู้สึกระคายเคืองต่อผิวหน้าของคุณ หากมีอาการแสบคัน ควรรีบล้างทันที
5. ว่านหางจระเข้
ข้อดี : ใบแก่สุดของต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป ใบนั้นจะมีวุ้นอยู่มาก และมีสรรพคุณในการรักษาสูงสุด ควรทำการปลอกเปลือก ล้างให้สะอาดเหลือแต่วุ้นใสๆ นำวุ้นมาพอกหรือแปะที่ผิวหน้าส่วนที่เป็นฝ้า 20 นาที แล้วล้างออกเท่านี้รอยฝ้าก็จะค่อยๆจางลงได้
ข้อเสีย : หากล้างยางว่านหางจรเข้ไม่หมดจด สิ่งที่ตามมาคือผิวหน้าแสบแดง ระคายเคืองมากๆ เพราะยาง เหลืองในว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อนและเป็นผื่นแดงได้
เคล็ดลับ ลดอาการระคายเคืองจากว่านหางจระเข้ : ถ้าไม่อยากมีอาการระคายเคือง ควรล้างวุ้นให้ขาวสะอาด และเติมน้ำมันมะกอก ไข่แดงลงไปนิดหน่อย ปั่นรวมกัน เท่านี้ผิวหน้าก็ลดอาการแสบร้อนได้ดี
สำหรับสูตรต่างๆที่ช่วยรักษาฝ้าเหล่านี้ สามารถทำได้ตามสภาพผิวของแต่ละคน หากไม่มีอาการแพ้ ก็จะเป็นการรักษาฝ้าที่ดีและเกิดผล สำหรับคนที่มีอาการแพ้เหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงและเลือกใช้ครีมรักษาฝ้าที่มีสกัดจากหัวไชเท้า ของ Manee Skincare ที่ช่วยรักษาฝ้าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นสูตรอ่อนโยน ไม่แสบผิวหน้า ทั้งช่วยรักษา และบำรุงผิวหน้าไปในตัว พร้อมทั้งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยค่า SPF20 ไม่ต้องห่วงเลยว่าผิวจะคล้ำ หรือฝ้าจะเข้มระหว่างวันหรือไม่ ทั้งดีและตอบโจทย์ต่อผิวบอบบางแบบสุดๆเลยค่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น